วัดบางนมโค
วัดดังประจำอยุธยา
ซึ่งเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนทั่วประเทศ ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อปาน
โสนันโส พระสงฆ์ผู้มีความรู้รอบด้านอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่พระธรรม กัมมัฏฐาน
การแพทย์แผนโบราณ การสร้างพระ ไปจนถึงการสร้างเกราะยันต์
แม้เมื่อท่านมรณภาพไปตั้งแต่ พ.ศ. 2481
หากรูปหล่อหลวงพ่อปานภายในมณฑปด้านหน้าวัด
เต็มไปด้วยทองคำเปลวที่ประชาชนแปะสักการะท่านจนทองอร่ามตลอดมานับแต่นั้น
วัดบางนมโคสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย
แต่ปีและผู้ก่อสร้างไม่ปรากฏหลักฐาน แต่มีบทบาทเมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่ 2
พ.ศ. 2310
กองทัพพม่าตั้งค่ายในแถบนี้และกวาดต้อนวัวควายไปเป็นเสบียงเสียจนเกือบจะหมดสิ้น
ชาวบ้านจึงเรียกชุมชนนี้ว่า ล้างนมโค ต่อมาแผลงเป็นบางนมโค
เนื่องจากมีทุ่งหญ้าสมบูรณ์จึงมีการเลี้ยงวัวควายกันมาก
วัดนี้จึงได้ชื่อวัดบางนมโคตราบจนถึงปัจจุบัน
จากมณฑปหลวงพ่อปานซึ่งมีรูปหล่อ อัฐิ
และหุ่นขี้ผึ้งของหลวงพ่อตั้งอยู่ภายใน
เข้ามาสู่บริเวณวัดเพื่อนมัสการพระประธานนามว่าพระพุทธโสนันทะ
ในพระอุโบสถที่หลวงพ่อปานที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2467 รายล้อมด้วยใบเสมาทอง
ด้านหน้าคือรูปหล่อหลวงพ่อปาน
และชมภาพวาดบนผนังบันทึกเหตุการณ์เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พร้อมด้วยสมเด็จพระราชินีนาถฯ และสมเด็จพระเทพรัตราชสุดา สยามมกุฎราชกุมารี
เสด็จพระราชดำเนินยังวัดบางนมโคเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2517
หลวงพ่อปานยังให้สร้างชั้นใต้ดินโดยมีบันไดทางลงไปสู่ห้องกว้าง
ที่มีภาพวาดนรกสวรรค์เพื่อเตือนใจพุทธศาสนิกชน
ส่วนด้านหลังพระอุโบสถคือพระธาตุเจดีย์
ซึ่งหลวงพ่อปานสร้างขึ้นใหม่แทนองค์เดิมที่ชำรุดทรุดโทรม
เป็นที่มาของการสร้างพระรุ่นแรก
รูปพระพุทธเจ้าประทับบนบัลลังก์เหนือสัตว์ต่าง ๆ ทั้งเจ็ด เมื่อ พ.ศ. 2450
ซึ่งมีชื่อเสียงขจรขจายในหมู่นักบูชาอย่างมาก
ทุกปีวัดบางนมโคจัดกิจกรรมยิ่งใหญ่
พิธีสักการะรำลึกพระเดชพระคุณหลวงพ่อปานทุกวันที่ 26 กรกฎาคม
สักการะหลวงพ่อปานได้ทุกวันเวลา 08.00-16.30 น.
ที่อยู่ : เสนา, พระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/F1UoHวัดภูเขาทอง
วัดภูเขาทองยังเป็นชัยภูมิที่มีบทบาทสำคัญในสงครามไทย-พม่าที่ทำให้กรุงแตกทั้ง
2 ครั้ง โดยวัดได้ชื่อตามมหาเจดีย์ภูเขาทองที่มีความสูงถึง 90 เมตร
ตามพระราชพงศาวดารอยุธยากล่าวไว้ว่า วัดภูเขาทอง
สถาปนาในรัชสมัยพระราเมศวร
สมัยอยุธยาตอนต้นในสงครามที่พระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่ามีชัยเหนืออยุธยาเมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่
1 ใน พ.ศ. 2112 พระเจ้าบุเรงนองจึงโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างเจดีย์แบบมอญผสมพม่าก่อทับองค์เจดีย์เดิมของวัดแห่งนี้
เป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะเหนือทัพไทยเอาไว้
แต่สันนิษฐานว่าคงสร้างได้แต่ส่วนฐานทักษิณส่วนล่างแล้วยกทัพกลับ
จากนั้นเมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงกอบกู้เอกราชกลับคืนมาได้ใน พ.ศ. 2127
จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์แบบไทยไว้เหนือฐานแบบมอญและพม่า
จึงมีสถาปัตยกรรมหลายแบบผสมผสานกันอยู่
แต่เจดีย์ภูเขาทองที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
สันนิษฐานว่าได้รับการบูรณะให้สูงใหญ่ในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาถึงสมัยพระเพทราชา
ระหว่าง พ.ศ. 2112-2246 ก่อนจะบูรณะใหญ่อีกครั้งสมัยพระเจ้าบรมโกศ
ซึ่งเป็นช่วงอยุธยาตอนปลายแล้ว โดยปฏิสังขรณ์เป็นฐานทักษิณ 4 ชั้น
รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีบันไดทั้ง 4 ด้านขึ้นไปจนถึงฐานทักษิณชั้นบนสุด
ซึ่งมีฐานสี่เหลี่ยมขององค์เจดีย์ที่มีอุโมงค์รูปโค้งเข้าไปข้างใน
ประดิษฐานพระพุทธรูป 1 องค์
เหนือขึ้นไปเป็นฐานแปดเหลี่ยมองค์ระฆังและบัลลังก์
และเหนือขึ้นไปอีกคือปล้องไฉน ปลียอด และลูกแก้ว
ซึ่งพังทลายในสมัยต้นรัตนโกสินทร์แต่ซ่อมแซมขึ้นใหม่ในสมัยจอมพล
ป.พิบูลสงคราม พ.ศ. 2499 โดยทำลูกแก้วทองคำหนัก 2,500 กรัม
เป็นสัญลักษณ์การบูรณะในวาระครบ 25
พุทธศตวรรษช่วงสงครามก่อนกรุงแตกครั้งแรก
มีการขุดคลองมหานาคเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญระหว่างพระนครด้านแม่น้ำลพบุรีกับวัดภูเขาทอง
ส่วนเขตพุทธาวาสเดิมยังหลงเหลือแนวกำแพงแก้วล้อมรอบ 688 เมตร
ภายในประกอบไปด้วยวิหารขนาดเล็ก อุโบสถใหญ่ด้านหน้ามีเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง
4 องค์ ทว่าหลังกรุงแตกครั้งที่ 2
วัดภูเขาก็กลับกลายเป็นวัดร้างเช่นเดียวกับทั้งกรุงศรีอยุธยา
แต่ยังมีผู้คนจากทุกแห่งหนเดินทางมาสักการะพระมหาเจดีย์อยู่เช่นเดิม
ดังปรากฎในนิราศภูเขาทองของสุนทรภู่ในสมัยรัชกาลที่ 3 จนมาถึง พ.ศ. 2500
จึงได้มีพระสงฆ์มาจำพรรษาที่วัดนี้อีกครั้ง
กรมศิลปากรได้สร้างอนุสาวรีย์พระนเรศวรทรงม้าศึกกลางถนนทางเข้าวัดเพื่อเทิดพระเกียรติกษัตริย์นักรบผู้กอบกู้เอกราชไว้ด้วย
เปิดให้เข้านมัสการทุกวัน เวลา 08.30-17.00 น.
ที่อยู่ : 153 หมู่ 2 ถนนทางหลวงหมายเลข 309 กม. 26 พระนครศรีอยุธยา, พระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/cUFTN
วิหารพระมงคลบพิตร
วิหารพระมงคลบพิตร
ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของวัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นที่ประดิษฐานพระมงคลบพิตร
พระพุทธรูปบุสำริดปางมารวิชัย
ที่สะท้อนภูมิปัญญาในศาสตร์แห่งโลหะและความชำนิชำนาญของช่างฝีมือไทยในหล่อโลหะโดยเฉพาะงานหล่อสำริดโลหะสำคัญในสมัยอยุธยา
มีขนาดหน้าตักกว้าง 9.55 เมตรและสูง 12.45 เมตร
นับเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่องค์หนึ่งในประเทศไทย
ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างในสมัยใด
สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมโปรดเกล้าฯ
ให้ย้ายจากทิศตะวันออกนอกพระราชวังมาไว้ทางด้านทิศตะวันตกที่ประดิษฐานอยู่ในปัจจุบัน
และโปรดเกล้าฯ ให้ก่อมณฑปสวมไว้ ทว่าในสมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ
เกิดฟ้าผ่ายอดมณฑปพระมงคลบพิตรเกิดไฟไหม้ทำให้ส่วนบนขององค์พระมงคลบพิตรเสียหาย
จึงโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมใหม่
แปลงหลังคายอดมณฑปเป็นมหาวิหารและต่อพระเศียรพระมงคลบพิตรในสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ
และในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2
วิหารพระมงคลบพิตรถูกข้าศึกเผาทำลายจนเสียหาย ครั้นเมื่อรัชกาลที่ 5
โปรดเกล้าฯ ให้การปฏิสังขรณ์ใหม่
ซึ่งยังคงเค้าความเป็นพระพุทธรูปสมัยอยุธยา
และสามารถเป็นแบบอย่างของพระพุทธรูปสมัยอยุธยาตอนกลางได้อย่างดี
สำหรับบริเวณข้างวิหารพระมงคลบพิตรทางด้านทิศตะวันออกแต่เดิมเป็นสนามหลวง
ใช้เป็นที่สำหรับสร้างพระเมรุพระบรมศพของพระมหากษัตริย์และเจ้านายเช่นเดียวกับท้องสนามหลวงของกรุงเทพฯ
นอกจากจะได้นมัสการพระพุทธรูปหล่อขนาดใหญ่องค์เดียวในประเทศไทยแล้ว
พุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวนิยมแวะด้านหน้าวัด ซึ่งจำหน่ายของพื้นเมือง
อาหารคาวหวาน ผลไม้ ขนม โรตีสายไหม
เครื่องจักสานและของดีเมืองอยุธยาหลากหลายชนิด
ที่นี่จึงเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาและหมุดหมายการท่องเที่ยวแห่งสำคัญ
เปิดให้สักการะองค์พระได้ทุกวัน วันธรรมดาเปิดตั้งแต่เวลา 08.00-16.30 น.
วันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์เปิดเวลา 08.00-17.00 น.
จะเดินเท้าชมวัดมงคลบพิตรต่อด้วยวัดพระศรีสรรญเพชญ์
หรือขี่ช้างชมวัดที่วังช้างอยุธยา แลเพนียดเตรียมไว้ให้บริการก็ได้
แผนที่การเดินทางไปวิหารพระมงคลบพิตร
http://www.tourismthailand.org/fileadmin/upload_img/Multimedia/Ebrochure/477/วิหารพระมงคลบพิตร.pdf
ที่อยู่ : พระนครศรีอยุธยา, พระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/PQG2z
วัดกษัตราธิราชวรวิหาร
วัดกษัตรา อันหมายถึง วัดของพระมหากษัตริย์หรือวัดของพระเจ้าแผ่นดิน
ทำให้สันนิษฐานได้ว่าที่นี่เป็นวัดที่พระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาพระองค์ใดพระองค์หนึ่งทรงสร้างเอาไว้
หากไม่ปรากฎนามผู้สร้าง
มีเพียงหลักฐานที่จารึกไว้ในพงศาวดารที่กล่าวถึงวัดกษัตราในแผ่นดินสมเด็จพระสุริยามรินทร์
ความว่า แรม 14 ค่ำ เดือน 5 ( พ.ศ. 2303)
พม่าเอาปืนใหญ่มาตั้งที่วัดราชพฤกษ์และวัดกษัตราวาส
ยิงเข้ามาในพระนครถูกบ้านเรือนราษฎรล้มตายจำนวนมาก
วัดเก่าแก่แห่งนี้ถูกเพลิงไหม้วอดวายเมื่อครั้งกรุงแตกครั้งที่ 2 ใน พ.ศ.
2310 นับแต่นั้นจึงถูกทิ้งร้าง
จนได้รับการบูรณะเรื่อยมาในแผ่นดินราชธานีรัตนโกสินทร์
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ
เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ (ทองอิน) กรมพระราชบวรสถานภิมุข
(กรมพระราชวังหลัง) ได้บูรณะวัดกษัตราขึ้นใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็น
วัดกษัตราธิราช ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์
(เกศ) ต้นราชสกุลอิศรางกูร ได้ปฏิสังขรณ์พระอารามเมื่อ พ.ศ. 2349
และมีพระสงฆ์จำพรรษาที่วัดแห่งนี้ได้ ในรัชกาลที่ 5
ได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดกษัตราธิราชวรวิหาร
และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ยกวัดกษัตราธิราชเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เมื่อวันที่ 1
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 เป็นพระอารามหลวงลำดับที่ 9 ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ด้วยเหตุว่าเป็นวัดที่มีความงดงามและสมบูรณ์แบบที่สุดซึ่งตกทอดมาจากสมัยอยุธยา
จึงเป็นปูชนียสถานที่น่าไปเที่ยวชม เช่น
พระอุโบสถอันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธกษัตราธิราชซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม ตั้งอยู่บนฐานชุกชี
ในลักษณะประทับนั่งขัดสมาธิราบ
ปางมารวิชัยซึ่งต่อมามีการลงรักปิดทองประดับอย่างงดงาม
ส่วนตัวพระอุโบสถเต็มไปด้วยงานฝีมือช่างสลักเสลาวิจิตรนัก อาทิ
เสามีคันทวยไม้จำหลักรูปพญานาค รองรับชายคาปีกนกทั้งสองด้าน
หัวเสาเป็นลายบัวแวง ด้านหน้าประดับซุ้มบุษบกบัญชร
ส่วนด้านหลังมีมุขเด็จประดิษฐานพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์
หลังคาประดับช่อฟ้าใบระกาหางหงส์
มุงด้วยกระเบื้องกาบูหรือกระเบื้องกาบกล้วยดินเผา หน้าบันทั้ง 2 ด้าน
จำหลักลายดอกพุดตาน
มีสาหร่ายรวงผึ้งคั่นสลับระหว่างเสาสืบทอดรูปแบบมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยา
ส่วนพื้นภายในพระอุโบสถปูด้วยหินอ่อนจากประเทศอิตาลีที่รัชกาลที่ 5
พระราชทานแด่พระครูวินยานุวัติคุณ (ทรง ธัมมสิริโชติ)
อดีตเจ้าอาวาสเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
หลังจากการก่อสร้างพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรฯ และยังมีพระวิหารอีก 2 ด้าน
เป็นที่ตั้งรูปหล่อสมเด็จพระพนรัตน์ซึ่งมีอยู่ที่วัดนี้แห่งเดียวเป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ชาวบ้านเรียกกันว่าหลวงพ่อแก่
และยังมีรูปหล่อของหลวงปู่เทียมอดีตเจ้าอาวาสพระเกจิอาจารย์ชื่อดังด้านตะกรุดอยู่ยงคงกระพันและเมตตา
จัดว่าเป็นอารามหลวงที่งดงามซึ่งจะมาศึกษางานศิลป์ชั้นสูงหรือสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชื่อดังประจำจังหวัด
เปิดให้เข้านมัสการในเวลา 08.00-16.30 น.
ที่อยู่ : 15 หมู่ 7 ถนนเสนา-สุพรรณ พระนครศรีอยุธยา, พระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/VjH7d
วัดชุมพลนิกายารามราชวรวิหาร
วัดชุมพลนิกายาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่หัวเกาะบางปะอิน ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ติดต่อกับเขตอุปจาระพระราชวังบางปะอิน
และอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา
วัดนี้จึงเป็นอีกวัดที่มีทัศนียภาพงดงามน่าชม
สันนิษฐานว่าสร้างโดยพระเจ้าปราสาททองในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเมื่อปีวอก
พ.ศ. 2175 ตรงบริเวณที่เป็นเคหสถานเดิมของพระราชชนนีของพระองค์
วัดแห่งนี้ได้รับการบูรณะในยุครัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ 4 และ 5
จนมีอาคารต่าง ๆ ดังเช่นที่ปรากฏในปัจจุบันนี้
สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดแห่งนี้คือพระอุโบสถหลังงาม
ภายในประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปหินทรายปูนปั้นถึง 7 องค์
ซึ่งนับว่าเป็นคติการประดิษฐานพระประธานที่แปลกไปจากที่อื่น ได้แก่
พระวิปัสสีสิขี เวสสภู กกุสันธะ โกนาคมนะ กัสสปะ และโคตมะ
พร้อมด้วยพระสาวกอีก 4 องค์
นอกจากนี้ยังมีประติมากรรมภิกษุณีครองจีวรมิดชิด ซึ่งหาดูได้ยาก
รวมถึงพระศรีอาริยะเมตไตรโพธิสัตว์เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องประดิษฐานอยู่ที่ด้านหน้าพระอุโบสถ
ภายในพระอุโบสถปรากฏภาพเขียนพระพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าทั้ง 7 พระองค์
ที่ฝาผนังทุกด้านอย่างงดงาม แม้จะได้รับการดูแลอย่างดี
แต่ด้วยกาลเวลาผ่านไปภาพเขียนส่วนหนึ่งก็ได้ลบเลือนไปบ้างแล้ว
และที่บานประตูมีภาพวาดของเครื่องบูชาแบบจีนซึ่งต่างจากวัดอื่น ๆ
ซึ่งมักวาดภาพของทวารบาลนั่นเอง ไม่เพียงเท่านั้น
วัดแห่งนี้ยังมีพระเจดีแบบย่อมุมไม้สิบสองศิลปะแบบอยุธยาให้ได้ชม
ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุรอให้ผู้ไปเยี่ยมเยือนได้มาสักการะ
หากใครได้มาเยือนอยุธยาคงจะต้องรู้สึกเสียดายไม่น้อยหากไม่ได้มาชมวัดชุมพลนิกายาราม
เพราะนอกจากจะได้ชมศิลปะของสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาผสมผสานกับแบบรัตนโกสินทร์แล้ว
ยังจะได้เรียนรู้คติต่าง ๆ ที่แปลกไปจากวัดอื่น ๆ อีกด้วย
ที่อยู่ : หมู่ 4 บางปะอิน, พระนครศรีอยุธยา
เครดิต : https://1th.me/0daNE
แสดงความคิดเห็น